วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

บทความเทคโนโลยีสาระสนเทศ


"5 เทคโนโลยี" ที่กำลังจะมาแน่ในอีก 5 ปีข้างหน้า 

     

หลายคนจินตนาการถึงโลกในอนาคตแตกต่างกันไป และหลายจินตนาการก็กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยนักวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลก จนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สามารถพลิกรูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมได้ และในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็น 5 เทคโนโลยีใหม่ เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ทั่วโลกแน่นอน จากการคาดการณ์โดยไอบีเอ็ม       

       เมื่อไม่นานมานี้ไอบีเอ็มได้เปิดเผยรายงานประจำปี "เน็กซ์ 5 อิน 5" (Next 5 in 5) ฉบับที่ 4 ซึ่งมีการคาดการณ์นวัตกรรมและเทคโนโลยี 5 สิ่ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นและมีผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในเมืองต่างๆ ทั่วโลก ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จากการวิเคราะห์เทคโนโลยีในห้องปฏิบัติการ ประกอบกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน

      
       1. "โมเดลคณิตศาสตร์" ช่วยโลกรับมือโรคระบาด
      

       ในแต่ละปีมีประชากรราว 60 ล้านคน ย้ายถิ่นฐานจากชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่ และในปี 52 มีการประเมินพบว่าประชากรส่วนใหญ่ของโลกอาศัยอยู่ในเขตเมืองมากกว่าชนบท ส่งผลให้เมืองใหญ่กลายเป็นแหล่งเพาะและแพร่กระจายเชื้อโรคได้ง่าย ฉะนั้นจะต้องมีระบบป้องกันและการสื่อสารด้านสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับชาวเมือง
      
       ไอบีเอ็มคาดการณ์ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์จะมีบทบาทในด้านสาธารณสุขมากยิ่งขึ้น ในการหาแนวโน้มรูปแบบการระบาดของโรคว่าจะเกิดการระบาดขึ้นบริเวณไหน เวลาใดบ้าง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนและเตรียมการรับมือเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาด และการรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที
      
       รวมทั้งมี "อินเทอร์เน็ตเพื่อสุขภาพ" ที่จะเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงข้อมูลทางการแพทย์ระหว่างชุมชน โรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรเวชภัณฑ์ได้อย่างทั่วถึง เกิดเป็นระบบสาธารณสุขที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพ สามารถคาดการณ์รูปแบบการระบาดของโรค ศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย และแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดซ้ำในอนาคต                                            

      
       2. "รถพลังไฟฟ้า" มาแน่นอน
       

       ทุกวันนี้เริ่มมีรถยนต์ไฮบริดออกมาวิ่งตามท้องถนนบ้างแล้ว แต่เพราะยังเป็นนวัตกรรมใหม่ รถยนต์ไฮบริดจึงยังมีราคาแพงระยับเหยียบคันละหลายล้านบาท ทว่าผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้นี้รถยนต์ไฮบริดซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างมาก จะมีราคาถูกลงอย่างแน่นอน และจะเข้ามาแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ
      
       สำหรับรถยนต์ไฮบริดในปัจจุบัน ใช้พลังงานจากแบตเตอรีลิเธียมไอออน ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังมุ่งมั่นพัฒนาแบตเตอรี่ขับเคลื่อนรถยนต์และรถประจำทางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และสามารถทำให้รถวิ่งได้ระยะทางไกลขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมแอร์ (Lithium Air) ซึ่งสามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานได้มากกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า ทั้งยังมีน้ำหนักเบา ปลอดภัยกว่า และราคาถูกกว่า และในอนาคตรถยนต์ที่เรานั่งอาจไม่ต้องแวะเติมน้ำมันตามปั๊มอีกต่อไป เพราะเพียงชาร์จไฟใส่แบตเตอรี่จากที่บ้าน ก็ขับรถไปเที่ยวที่ไหนๆ ได้ไกลหลายร้อยกิโลเมตร
      
       ผู้เชี่ยวชาญไอบีเอ็มยังคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า พลังงานทดแทนอื่นๆ ก็จะถูกนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยเช่นกัน อาทิ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่รองรับระบบขนส่งมวลชนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าก็จะได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำและแพร่หลายมากขึ้นด้วย

      
       3. "อาคารอัจฉริยะ" ตอบสนองทุกความต้องการของชีวิตคนเมือง
       

       ตึกสูงระฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองใหญ่ และมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี ขณะที่ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มใช้ชีวิตอยู่ในอาคารสูงกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาทำงาน หรือเป็นที่พักอาศัย และในแต่ละปีอาคารเหล่านี้ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมารวมแล้วมากกว่ารถยนต์บนท้องถนนเสียอีก
      
       ในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอาคาร เพื่อเชื่อมโยงระบบต่างๆ ภายในอาคาร ทั้งระบบไฟฟ้า น้ำประปา อุณหภูมิ โทรคมนาคม และระบบรักษาความปลอดภัย โดยจะเชื่อมโยงกันและบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยยิ่งขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานหรือผู้เข้าพักได้ราวกับมีชีวิต และด้วยระบบอัจฉริยะภายในอาคาร จะมีการเตือนล่วงหน้าด้วยว่าระบบหรืออุปกรณ์ชิ้นไหนควรได้รับการซ่อมบำรุงก่อนที่จะเกิดการชำรุดเสียหาย และยังตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที
      
       ตัวอย่างอาคารอัจฉริยะที่เริ่มมีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน เช่น โรงแรมไชน่า หังโจว ดราก้อน ในประเทศจีน, อาคารเซเว่น เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ


       

       4. เทคโนโลยีอัจฉริยะ ช่วยป้องกันปัญหาอาชญากรรมในเมือง

              ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีขั้นสูงจะช่วยลดปัญหาอาชญากรรมในเมืองให้น้อยลงได้ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ด้วยระบบวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมจากสถิติและแนวโน้มเพื่อคาดการณ์ล่วงหน้าว่าพื้นที่ไหน เวลาใด เสี่ยงเกิดเหตุร้าย และช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจตราความสงบเรียบร้อย และป้องกันการก่ออาชญากรรมหรือรับมือกับปัญหาได้อย่างทันท่วงที
      
       นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันและรับมือกับปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ก็จะได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและมีการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่น ระบบดับเพลิงอัจฉริยะ ช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงจากอัคคีภัยในเมือง และรับมือกับปัญหาเพลิงไหม้หรือไฟป่า, ระบบควบคุมอุทกภัยแบบอัจฉริยะ ด้วยเซ็นเซอร์ตรวจวัดปริมาณน้ำฝนบริเวณเขื่อนกันน้ำท่วม ตามแนวชายฝั่งทะเลและแม่น้ำลำคลอง เช่น ศูนย์จัดการน้ำระดับโลก (Global Center for Water Managment) ของไอบีเอ็ม ในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ กำลังบุกเบิกเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ในตอนนี้

 
       

       5. ระบบจัดการน้ำอย่างชาญฉลาด บรรเทาปัญหาน้ำขาดแคลน
      

       ผู้เชี่ยวชาญของไอบีเอ็มระบุว่าในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการใช้น้ำทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นมากกว่านั้นหลายเท่าตัว และปัจจุบันนี้น้ำที่มีอยู่ทั่วโลกมีเพียง 2% เท่านั้นที่สามารถใช้อุปโภคและบริโภคได้ และความต้องการน้ำของมนุษย์จะเพิ่มขึ้นอีก 6 เท่าในอีก 50 ปีข้างหน้า แต่ปัญหาขาดแคลนน้ำนั้นเป็นภัยคุกคามประชาชนแล้วหลายพื้นที่ โดยมีประชากรถึง 1 ใน 5 ของโลก เข้าไม่ถึงน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัย
      
       นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามพัฒนาระบบอัจฉริยะที่ช่วยบริหารจัดการน้ำในเขตเมือง เพื่อลดการสิ้นเปลืองและสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับการรั่วไหลของท่อประปาและซ่อมแซมตัวเองได้อย่างอัตโนมัติ รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีกรองน้ำที่สามารถเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด หรือกรองเสียให้กลายเป็นน้ำดี และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำได้

 
       





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น